วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

การพรรณนาภาษาชุน

ชาวชุนอาศัยอยู่ในมณฑลห่ายหนาน บริเวณตอนปลายของสองฝั่งแม่น้ำชางฮว่า(昌化江Chānghuà jiāng) ซึ่งจัดเป็นพื้นที่ของอำเภอปกครองตนเองชาวหลี อำเภอตงฟาง(东方县Dōngfāng xiàn) โดยมีชุมชนชาวชุนตั้งบ้านเรือนอยู่ฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำ 75% และอีก 25% อยู่ฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำได้แก่บ้านซื่อเกิ้ง (四更乡Sìgèng xiāng) บ้านซินเจีย (新街乡Xīnjiē xiāng) บ้านหงเจียง(红江乡Hóngjiāng xiāng) และบ้านเปาป้าน (包半乡Bāobàn xiāng) และมีบางส่วนกระจัดกระจายอยู่ที่อำเภอหงเจียง (红江县Hóngjiāng xiàn) ซึ่งเป็นพื้นที่ฝั่งทิศตะวันออกของมณฑลห่ายหนาน รวมพื้นที่อยู่อาศัยของชาวชุนทิศเหนือจรดใต้ 30 กิโลเมตร ทิศตะวันตกจรดทิศตะวันออก 20 กิโลเมตร  ในรายงานของโอวหยางบอกว่าจำนวนประชากรชาวชุนไม่สามารถระบุได้แน่ชัด บอกแต่เพียงข้อมูลสำมะโนประชากรปี 1982 จำนวนประชากรของอำเภอตงฟางมีทั้งหมด 265,100 คน เป็นชาวฮั่นสองแสนกว่าคน ที่เหลือเป็นชาวชุน มีข้อมูลในเว็บไซด์ชื่อ “ข้อมูลหมื่นชาติพันธุ์จีน” (中国万民信息网Zhōngguó wànmín xìnxī wǎng เข้าถึงได้ทาง http://www.wanmin.org/minzu/cun) รายงานจำนวนประชากรชาวชุนปี 1990 มี 70,000 คน ปี 2000 มี 79,100 คน และปี 2010 มี 89,400 คน คิดเป็น 17% ของประชากรอำเภอตงฟาง 

ปัจจุบันรัฐบาลจีนไม่ได้จัดให้ชาวชุนมีสถานภาพเป็นชนกลุ่มน้อย หากแต่จัดไว้เป็นชาวฮั่น  ชาวชุนเองก็ยอมรับว่าตนเองเป็นชาวฮั่น แต่ภาษาที่ชาวชุนพูดกลับไม่ใช่ภาษาถิ่นใดๆของภาษาจีน หากแต่เป็นภาษาที่มีความใกล้ชิดกับภาษาตระกูลไท ชาวชุนเรียกตนเองว่า /Na:u1 fn1/ แปลเรียงตามคำคือ “คน-บ้าน” หมายถึง “คนพื้นบ้าน” ส่วนชนกลุ่มน้อยชาวหลี [1]  ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่ของมณฑลห่ายหนานเรียกชาวชุนว่า /moi/ นอกจากนี้ชื่อที่คนส่วนใหญ่ใช้เรียกชาวชุนอย่างกว้างขวางและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือชื่อ /k2 loN2/ แปลว่า “พี่หลวง” [2]  แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวชุนเป็น “พี่ใหญ่” ของชนเผ่าอื่นๆแต่อย่างใด การเรียกด้วยคำว่า “หลวง” นี้มีที่มาจากการที่ชาวชุนมักเรียกญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารพยกย่องโดยมีคำว่า “หลวง” เป็นคำประกอบเสมอ ชนกลุ่มอื่นจึงนำคำว่า /loN2/  มาเป็นชื่อเรียกขานชาวชุนเท่านั้น อักษรจีนที่ใช้บันทึกชื่อชาวชุนที่แทนเสียงคำว่า /k2 loN2/ คือ 哥隆Gēlóng หรือ 仡隆 Gēlóng บางครั้งชาวจีนทั่วไปก็รู้จักชาวชุนในชื่อ “เกอหลง” ตามอักษรจีนนี้  ผลจากอักษรที่เลือกมาเป็นชื่อชาวชุนซึ่งเป็นอักษรตัวเดียวกันกับชื่อชนกลุ่มน้อยชาวเกอลาว 仡佬Gēlǎo ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันในฐานะภาษาในระดับสาขาเดียวกันแต่อยู่คนละแขนงกัน เมื่อมีชื่อพ้องกัน ทำให้นักวิจัยเกิดความคิดเชื่อมโยงไปถึงชนกลุ่มน้อยชาวเกอลาว ทำให้มีการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางภาษา ชาติพันธุ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนาความเชื่อ ชีวิตวามเป็นอยู่ เพื่อหาหลักฐานความเชื่อมโยงทางชาติพันธุ์ และพบว่าทั้งสองกลุ่มมีส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน  ส่วนที่เหมือนกันอาจเป็นลักษณะร่วมของพวกที่พูดภาษาตระกูลไททั้งหมด ส่วนที่ต่างกันอาจเป็นเพราะแยกกันอยู่เป็นเวลานาน ต่างฝ่ายต่างพัฒนาเอกลักษณ์เฉพาะตน ขณะเดียวกันก็ได้รับอิทธิพลจากชนกลุ่มอื่นที่อยู่แวดล้อม  ทำให้ข้อมูลทางวัฒนธรรมก็ยังไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานที่ยืนยันตัวตนที่แท้จริงได้  
          ชาวชุนเป็นใครมาจากไหน หรือเป็นชนติดแผ่นดินไม่มีบันทึกใดกล่าวถึงชนกลุ่มนี้ ชาวชุนเองบ้างก็บอกว่าตนเองอพยพมาจากฝูเจี้ยน บ้างก็ว่าอพยพมาจากเจียงซี แต่ก็หามีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ไม่ หรือหากเป็นชาวฮั่นตามการจัดการปกครองและอย่างที่ตนเองบอกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ชาวฮั่นจะละทิ้งภาษาของตนไปใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาถิ่นฮั่น ขณะที่หากเปรียบเทียบกับชาวฮั่นพื้นถิ่นในบริเวณเดียวกันหลายถิ่นที่อพยพมาหลายร้อยปีอย่างถิ่นแคะ(客家Kèjiā) หมิ่นหนาน (闽南Mǐnnán)  เยว่      (粤语Yuèyǔ)  ม่ายฮว่า (迈话Màihuà)  ตานโจว (儋州Dānzhōu) ก็ยังคงรักษาภาษาฮั่นมาได้จนถึงปัจจุบัน แม้แต่ชาวฮั่นพื้นถิ่นที่มีจำนวนประชากรไม่ถึงพันคนอย่างชาวฮั่นที่บ้านฟู่หม่า (富马村Fùmǎ cūn) ก็ยังไม่ละทิ้งภาษาฮั่น


[1] เมื่อช่วงปี 1953-1980 นักภาษาศาสตร์จีนศึกษาภาษาหลี ซึ่งเป็นผลงานการศึกษาในโครงการ “ชุมนุมปริทรรศน์ภาษาชนกลุ่มน้อยของสาธารณรัฐประชาชนจีน” จัดภาษาหลีให้เป็นแขนงภาษาหลี ภายใต้สาขาภาษาจ้วง-ต้ง และจัดภาษาชุนไว้เป็นภาษาถิ่นหนึ่งของภาษาหลี ชื่อถิ่นเหม่ยฝู    มีจำนวนประชากรคิดเป็นเพียง 4% ของชาวหลีทั้งหมด ต่อมาช่วงปี 1983 เป็นต้นมา ได้มีโครงการต่อเนื่องจากชุดที่แล้ว ชื่อโครงการ “สรรนิพนธ์รวมชุดการศึกษาวิจัยภาษาพบใหม่ในประเทศจีน” นักภาษาศาสตร์จีนได้ศึกษาภาษาชุน และจัดภาษาชุนแยกออกมาจากภาษาหลี โดยจัดให้เป็นภาษาหนึ่งคู่กับภาษาหลี  อยู่ภายใต้แขนงภาษาหลี  และเมื่อมีประเด็นเรื่องการพิสูจน์ดีเอ็นเอเกิดขึ้น บางกระแสได้จัดภาษาชุนไว้ในแขนงเกอ-ยังร่วมกับภาษาเกอลาว
[2] คำนี้เป็นคำประสมของคำศัพท์ภาษาจีนกับคำศัพท์ร่วมเชื้อสายตระกูลไท คือ + หลวง  ( แปลว่า “พี่ชาย”)

ถ้าเทียบกับภาษาไทยแล้ว ภาษาชุนดูจะห่างไกลจากภาษาไทยมาก และไม่มีประเด็นอะไรที่
น่าสนใจศึกษาเปรียบเทียบกับภาษาไทยเท่าใดนัก นอกเสียจากคำศัพท์ร่วมเชื้อสาย คำยืมภาษาจีนเก่า ซึ่งก็พบได้เหมือนๆกันในภาษาตระกูลไทที่อยู่ในประเทศจีนทุกๆภาษา ขึ้นอยู่กับว่าภาษาใดใกล้ชิดเป็นแขนงเดียวกันกับภาษาไทยมากก็จะมีปริมาณคำศัพท์ที่สัมพันธ์กันมาก ส่วนภาษาที่เป็นแขนงที่อยู่ห่างออกไปจากภาษาไทยก็มีปริมาณคำศัพท์ร่วมเชื้อสายน้อยเพียงเท่านั้น
          มูลเหตุทางประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าชาวชุนสืบเชื้อสายมาจากชาวเกอลาว  ภาษาชุนจึงมีความสำคัญในการศึกษาภาษาเกอลาวเก่า แต่ก็ไม่ได้มีคำศัพท์ภาษาเกอลาวหลงเหลืออยู่ในภาษาชุนมากนัก เนื่องจากสาเหตุที่ชาวเกอลาวเก่าในช่วงที่อพยพหลบหนีนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนภาษาไปใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยข้างเคียงหรือภาษาจีนเพื่อความอยู่รอด ทำให้ภาษาดั้งเดิมสูญหายไป หรือละทิ้งไปเสีย คำศัพท์ที่สอดคล้องกันก็เป็นคำศัพท์ร่วมเชื้อสายในภาษาตระกูลไทที่มีในทุกๆภาษา  


          จากที่ได้อธิบายมา สามารถสรุปลักษณะสำคัญของภาษาชุนได้ดังนี้  
          1.ระบบเสียง   
-    ภาษาชุนยังคงรักษาระบบเสียง //b, /d/ ซึ่งเป็นเสียงดั้งเดิมของภาษาตระกูลไทไว้ได้
แต่สูญเสียพยัญชนะต้นเสียงกัก /p, t/ ไป (เหลือเป็นเพียงพยัญชนะท้าย) โดยพยัญชนะ สองเสียงนี้กลายเป็นเสียง /b,d/  หรือ //b, /d / ไม่ก็ /ph,f/
-          ไม่มีพยัญชนะเปลี่ยนเป็นริมฝีปาก และพยัญชนะเปลี่ยนเป็นเพดานแข็ง ทำให้ภาษา
ชุนแตกต่างไปจากภาษาอื่นเกือบทุกภาษา  
-          สระภาษาชุนสอดคล้องกับภาษาสาขาจ้วง-ต้ง คือ มีสระเดี่ยว สระประสมกับสระ สระ
ประสมกับหางสระที่เป็นอรรธสระ สระประสมกับพยัญชนะนาสิก และสระประสมกับพยัญชนะเสียงกัก
-          วรรณยุกต์ในคำพยางค์เปิดและวรรณยุกต์ในคำพยางค์ปิดไม่มีผลทำให้เกิดการเพิ่ม
จำนวนเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งแตกต่างไปจากภาษาอื่นที่วรรณยุกต์ในคำทั้งสองแบบจะมีเสียงแตกต่างกันสองชุด
          2. ระบบคำ
                      -   คำศัพท์ในภาษาชุนมีคำโดดพยางค์เดียว คำโดดสองพยางค์และหลายพยางค์
                   - การสร้างคำวิเคราะห์โดยใช้หลักทางไวยากรณ์ภาษาจีน พบว่าภาษาชุนมีวิธีการสร้างคำไม่ต่างไปจากภาษาอื่น
                   - คำในภาษาชุนประกอบไปด้วยคำศัพท์เฉพาะเผ่าพันธุ์ คำศัพท์ร่วมเชื้อสายสาขาจ้วง-ต้ง คำยืมภาษาจีนเก่า (หรือที่เรียกว่าคำศัพท์ร่วมเชื้อสายไท-จีน) และคำยืมภาษาจีนใหม่ การสร้างคำประสมเลือกคำศัพท์มาจากวงคำศัพท์ดังกล่าวนี้ โดยมีหลักการสร้างคำที่ใช้ทั้งแบบภาษาตระกูลไท และแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาจีน
          3.ระบบไวยากรณ์ 
                   ดังที่ได้อธิบายมาข้างต้นจะเห็นว่า ภาษาชุนมีแนวโน้มใช้ไวยากรณ์แบบภาษาจีนมากกว่า เนื่องจากว่าได้แยกตัวออกมาจากภาษาตระกูลไทเป็นเวลานาน ประกอบกับการที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาจีนเก่าก่อนที่จะอพยพมา และอิทธิพลของภาษาจีนห่ายหนานเมื่ออพยพมาอยู่บนเกาะห่ายหนานแล้ว ประกอบกับการพยายามเปลี่ยนภาษาของตนเพื่อหลบหนีการติดตามการปราบล้างของราชสำนักจีน ทำให้ภาษาชุนพยายามที่จะละทิ้งภาษาและไวยากรณ์ดั้งเดิมของตน แต่อย่างไรก็ตามคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะละทิ้งภาษาแม่ได้อย่างหมดสิ้น  เราจึงยังพบระบบไวยากรณ์แบบที่สอดคล้องกับภาษาตระกูลไทหลงเหลืออยู่บ้าง ดังจะเห็นว่าไวยากรณ์แบบเดียวกันแต่สามารถพูดได้ทั้งสองอย่าง คือ ทั้งแบบภาษาจีน และแบบภาษาตระกูลไท เพียงแต่ว่าชาวชุนเลือกที่จะใช้แบบภาษาจีนมากกว่าเท่านั้น  
          นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่คำยืมภาษาจีนเก่าในภาษาชุนมีเป็นจำนวนมาก ตรวจสอบในรายการคำศัพท์ภาษาชุนพบว่ามีคำศัพท์ที่จัดว่าเป็นภาษาจีนเก่าอยู่มากถึง 28% ในขณะที่ภาษาไทยมีคำศัพท์ที่เรียกว่า “คำศัพท์ร่วมเชื้อสายไทย-จีน” อยู่ คำศัพท์กลุ่มนี้ก็คือคำศัพท์ภาษาจีนเก่าเช่นเดียวกันกับภาษาชุน เราจึงสามารถใช้ภาษาชุนศึกษาคำศัพท์ภาษาจีนเก่าที่มีอยู่ในภาษาไทยได้เช่นเดียวกัน 
          จากที่ได้ตรวจสอบรายการคำศัพท์ภาษาชุน ผู้เขียนพอจะมองเห็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ คำศัพท์ภาษาไทโบราณที่ใช้อยู่ในภาษาชุน คำเหล่านี้แฝงอยู่ในคำประสมหรือคำซ้อนภาษาไทย แต่อาจจะไม่แสดงความหมายหรือถ่ายโอนความหมายไปไว้ในอีกคำหนึ่ง เมื่อสืบสาวต่อไปอีกก็จะพบว่า คำบางคำสอดคล้องกับภาษาจีน คำศัพท์เหล่านี้จึงน่าสนใจศึกษาให้ลึกซึ้งต่อไป จะขอยกดังตัวอย่างไว้ส่งท้ายบทพรรณนาภาษาชุนต่อไปนี้      
ภาษาชุน
ความหมาย
ในภาษาชุน
ภาษาไทย
ภาษาจีน
ความหมายภาษาจีน
dan5
ตัน
อุดตัน
-

diu1
ฉลาด
ฉลาดเฉลียว
-

fµn3
ตื้น
ตื้นเขิน
-

loN1
ใหญ่
ใหญ่หลวง
lóng
ยิ่งใหญ่
mi2
แป้ง
แป้งหมี่
ข้าวสาร
Nai3
ร้องไห้
ร้องไห้
-

si«N1
เมือง
เชียงใหม่
chéng
เมือง
tθEk3
ฉีก
ฉีกขาด
-

khµt2
ขาด
ฉีกขาด
-

vuat3
ต้อน (ไล่ฝูงสัตว์)
กวาดต้อน
-

zam5
กลืน
กล้ำกลืน
-

vuat5
ตี ต่อย
ฟาดฟัน
-

Nai1
รัก
รักใคร่
ài
รัก
vi3
เล็ก
เล็กน้อย
-

tsi«N3
ตรง
เที่ยงตรง
zhèng
ตรง
hit2
ใกล้
ใกล้ชิด
-

kEp5
แคบ
คับแคบ
-

u«n3
มั่นคง
มั่นคง
wěn
มั่นคง

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น