--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 หน่วยคำเติมในภาษากลุ่มมอญ-เขมรในประเทศจีน
เมชฌ
สอดส่องกฤษ[1]
บทคัดย่อ 
            การใช้หน่วยคำเติมเป็นส่วนประกอบคำเพื่อทำให้คำมีการเปลี่ยนความหมายหรือหน้าที่ทางไวยากรณ์เป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของภาษาตระกูลมอญ-เขมร
วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือมุ่งอธิบายและศึกษาวิเคราะห์หน่วยคำเติมของภาษาตระกูลมอญ-เขมร
ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนสามภาษาได้แก่ ภาษาปลัง ภาษาเต๋ออ๋างและภาษาหว่า  วิธีการศึกษากระทำโดยการรวบรวมหน่วยคำเติมจากผลงานการศึกษาของนักวิชาการฝ่ายจีนแล้ววิเคราะห์เปรียบเทียบลักษณะหน่วยคำเติม
ผลการศึกษาพบว่า ภาษาตระกูลมอญ-เขมรที่พูดอยู่ในประเทศจีนมีหน่วยคำเติมสองแบบ
คือ 1.แบบที่เติมแล้วทำให้คำมีการเปลี่ยนหน้าที่ทางไวยากรณ์หรือความหมาย
และ 2. แบบที่เติมแล้วไม่ได้ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ ส่วนวิธีการใช้หน่วยคำเติมพบว่ามีสามแบบ คือ
หน่วยคำเติมหน้า หน่วยคำเติมท้าย และหน่วยคำเติมครอบ ผลจากการเปรียบเทียบพบว่า
วิธีการใช้หน่วยคำเติมที่ทั้งสามภาษามีเหมือนกันคือ การใช้หน่วยคำเติมหน้าเพื่อเปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม
และวิธีที่ใช้มากที่สุดในทุกภาษาก็คือการเติมหน่วยคำเติมหน้า หน่วยคำเติมท้ายและหน่วยคำเติมครอบตามลำดับ
 
คำสำคัญ : หน่วยคำเติม
มอญ-เขมร ออสโตรเอเชียติก ปลัง เต๋ออ๋าง หว่า 
Affixation
in Mon-Khmer language in China 
Abstract 
          The
process of adding an affix to a word to create a different form of that word,
or a new word with a different meaning and grammar is a dominant feature of Mon-Khmer
language. This article aims to study and describe the affixation in Mon-Khmer
language spoken in China China 
Keywords: affixation, Mon-Khmer,
Austro-Asiatic, Blang, De’ang, Wa     
บทนำ 
ในประเทศจีนมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ
56 กลุ่ม ในจำนวนนี้มีอยู่ 3 กลุ่มที่พูดภาษาตระกูลมอญ - เขมร คือ
ชนชาติส่วนน้อยเผ่าปลัง (Blang)  ชนชาติส่วนน้อยเผ่าเต๋ออ๋าง (De'ang)
และชนชาติส่วนน้อยเผ่าหว่า (Wa) ชนเผ่าทั้งสามกลุ่มนี้กระจายตัวอยู่ในบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนได้แก่
เขตมณฑลยูนนานและกวางสี  จากการศึกษาพบว่า ภาษาปลัง ภาษาเต๋ออ๋าง และภาษาหว่าที่พูดอยู่ในประเทศจีน
มีวิธีการสร้างคำโดยการใช้หน่วยคำเติมเพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนความหมาย เปลี่ยนชนิดของคำ
หรือเพื่อให้คำทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ที่แตกต่างกัน  
หน่วยคำเติม ภาษาอังกฤษเรียกว่า Affixation คือ หน่วยคำชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของคำ ไม่สามารถปรากฏและแสดงความหมายได้โดยลำพัง
แต่จะสามารถใช้หรือมีความหมายได้ก็ต่อเมื่อนำไปประกอบกับรากคำที่มีความหมาย
การเติมหน่วยคำเติมนี้สามารถเติมได้หลายตำแหน่งต่างๆกัน ได้แก่  
1.เติมหน้า เรียกว่า หน่วยคำเติมหน้า(prefix) ศัพท์ภาษาศาสตร์ไทยเรียกว่า อุปสรรค
2.เติมกลาง เรียกว่า หน่วยคำเติมกลาง(infix) ศัพท์ภาษาศาสตร์ไทยเรียกว่า อาคม
3.เติมหลัง เรียกว่าหน่วยคำเติมหลัง(suffix)  ศัพท์ภาษาศาสตร์ไทยเรียกว่า ปัจจัย 
และในบางภาษาหน่วยคำเติมนี้สามารถเกิดได้พร้อมๆกัน ได้แก่ 
4.เติมหน้าและหลังพร้อมกัน(circumfix)
ในบทความนี้จะเรียกว่า หน่วยคำเติมครอบ คือ มีหน่วยคำเติมสองหน่วยคำเติมครอบในตำแหน่งหน้าและหลังรากคำ(บางตำราเรียกว่า
หน่วยคำเติมคร่อม)  
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
          จากการศึกษาข้อมูลภาษาตระกูลมอญ-เขมรในหนังสือชื่อ
นานาภาษาในเอเชียอาคเนย์
ภาคที่ 1:
ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกและภาษาตระกูลจีน-ธิเบต (สุริยา,2531) ก็จะเห็นว่าลักษณะเด่นประการหนึ่งที่พบในภาษาตระกูลมอญ-เขมร
คือ มีวิธีการสร้างคำโดยการเติมหน่วยคำลงไปในรากคำเดิมเพื่อเปลี่ยนความหมาย
เปลี่ยนหน้าที่ของคำ หรือเพื่อให้คำทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม
หรือเพื่อบ่งบอกลักษณะเฉพาะของคำ หน่วยคำเติมที่พบบ่อยได้แก่ หน่วยคำเติมหน้า หน่วยคำเติมกลาง
และหน่วยคำเติมท้าย หน่วยคำเติมเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นเองและมีความหมายได้โดยลำพัง
แต่จะแสดงความหมายได้ก็ต่อเมื่อนำไปเติมหน้า แทรกกลาง หรือหลังคำ จากการศึกษาภาษาตระกูลมอญ-เขมรที่พูดอยู่ในประเทศจีนพบมีลักษณะการใช้หน่วยคำเติมสามแบบ
คือ หน่วยคำเติมหน้า หน่วยคำเติมท้าย และหน่วยคำเติมครอบ โดยจะได้นำเสนอในบทความนี้
 การศึกษาเกี่ยวกับภาษาของชนชาติส่วนน้อยในประเทศจีน
มีหนังสืออ้างอิงที่สำคัญคือ หนังสือในชุด “ชุมนุมปริทรรศน์ภาษาชนชาติส่วนน้อยของสาธารณรัฐประชาชนจีน”[2] ซึ่งเป็นหนังสือภาษาจีนในโครงการ “สรรนิพนธ์รวมชุดประเด็นชนชาติส่วนน้อย
5 ประการ ของคณะกรรมการชนชาติส่วนน้อยแห่งชาติ”[3] โครงการย่อยเรื่อง “ชุมนุมปริทรรศน์ภาษาชนชาติส่วนน้อยของสาธารณรัฐประชาชนจีน”
นับเป็นโครงการบูรณาการความรู้เกี่ยวกับชนชาติส่วนน้อยในประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 ถึง ค.ศ. 1991 ประกอบด้วยคณะทำงานย่อย 400
คณะ มีนักวิชาการร่วมทำงานครั้งนี้กว่า 1760 คน มีผลผลิตเป็นหนังสือรวมทั้งสิ้น
401 เล่ม ในส่วนของ “บันทึกสังเขปภาษาของชนชาติส่วนน้อย” นั้น เริ่มดำเนินการในปี
ค.ศ. 1956 โครงการย่อยอื่นๆ ได้แก่ “ชนชาติส่วนน้อยของจีน”[4] “บันทึกสังเขปประวัติศาสตร์ชนชาติส่วนน้อยของจีน”[5]
“บันทึกเขตปกครองตนเองชนชาติส่วนน้อยของจีน”[6]
และ ”บันทึกข้อมูลการสำรวจประวัติศาสตร์ทางสังคมของชนชาติส่วนน้อยของจีน”[7]  
          การศึกษาครั้งนี้
ผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลจากหนังสือภาษาจีนที่อยู่ในชุด “ชุมนุมปริทรรศน์ภาษาชนชาติส่วนน้อยของสาธารณรัฐประชาชนจีน” สามเล่ม คือ
 
1. เนื้อหาของภาษาปลัง
ศึกษาจากหนังสือภาษาจีนเรื่อง “ปริทรรศน์ภาษาปู้หล่าง”[8] ของผู้เขียนชื่อ หลี่ต้าวหย่ง เนี่ยซีเจิน และ ชิวเอ้อเฟิง (李道勇、聂锡珍、邱鹗锋Lǐ Dàoyǒnɡ、Niè Xīzhēn、Qiū Èfēnɡ:1986)
นักภาษาศาสตร์รู้จักหนังสือเล่มนี้ในชื่อภาษาอังกฤษว่า “A
description of the Blang language.”
2.เนื้อหาของภาษาเต๋ออ๋าง
ศึกษาจากหนังสือภาษาจีนเรื่อง “ปริทรรศน์ภาษาเต๋ออ๋าง”[9] ของผู้เขียนชื่อ  ชื่อ เฉินเซี่ยงมู่
หวางจิ้งหลิวและล่ายหย่งเหลียง  (陈相木Chén Xiànɡmù,
王敬骝Wánɡ Jìnɡliú, 赖永良Lài Yǒnɡliánɡ,1986) นักภาษาศาสตร์รู้จักหนังสือเล่มนี้ในชื่อภาษาอังกฤษว่า“A
description of the Ta-ang language.” 
3.เนื้อหาของภาษาหว่า
ศึกษาจากหนังสือภาษาจีนเรื่อง “ปริทรรศน์ภาษาหว่า”[10] ของผู้แต่งชื่อ โจวจื๋อจื้อและเหยียนฉีเซียง.(周值志,颜其香Zhōu Zhízhì,
Yán Qíxiānɡ:1984)นักภาษาศาสตร์รู้จักหนังสือเล่มนี้ในชื่อภาษาอังกฤษว่า“A
description of the Wa language.” 
หน่วยคำเติมในภาษามอญ-เขมรในประเทศจีน
          หัวข้อนี้จะนำเสนอหน่วยคำเติมของภาษามอญ-เขมรในประเทศจีน
3 ภาษา เรียงลำดับตามตัวอักษร คือ ภาษาปลัง ภาษาเต๋ออ๋าง และภาษาหว่า ดังนี้ 
1. หน่วยคำเติมในภาษาปลัง[11]
          จากการศึกษาพบว่า
ภาษาปลังมีหน่วยคำเติมสามประเภท คือ หน่วยคำเติมหน้าหน่วยคำเติมท้าย และหน่วยคำเติมครอบ
ดังนี้ 
          1.1 หน่วยคำเติมหน้า (prefix)
(1) prefix /n/
ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ต่างๆกัน ดังนี้    
-
prefix /n/ นำหน้าคำกริยา
เพื่อทำให้คำกริยานั้นเปลี่ยนเป็นคำนาม  
ตัวอย่างเช่น
| 
คำกริยา | 
คำนาม | ||
| 
phil61   | 
“กวาด” | 
nphil61   | 
“ไม้กวาด” | 
| 
tFN3   | 
“ชั่ง” | 
ntFN3     | 
“ตาชั่ง” | 
| 
tþµm3  | 
“สวม” | 
ntþµm3  | 
“หมวก” | 
| 
kum3  | 
“หนุน” | 
nkum3  | 
“หมอน” | 
-   
prefix /n/ นำหน้าคำกริยา เพื่อเปลี่ยนจากคำกริยาเป็นคำลักษณนาม
ตัวอย่างเช่น
| 
คำกริยา | 
คำลักษณนาม | ||
| 
tum2 | 
“กอง” (ขนาดเล็ก) | 
ntum2 | 
“กอง” (ขนาดเล็ก) | 
| 
kN1 | 
“กอง” (ขนาดใหญ่) | 
nkN1 | 
“กอง” (ขนาดใหญ่) | 
| 
klm1 | 
“หาบ  ”  | 
nklm1 | 
“หาบ” | 
| 
tom2 | 
“กอบ” | 
ntom2 | 
“กอบ” | 
-   
prefix /n/ นำหน้าคำกริยาที่ถูกทำให้เกิด
เปลี่ยนความหมายเป็น
คำกริยาเกิดเอง
ตัวอย่างเช่น 
| 
คำกริยาทำให้เกิด | 
คำกริยาเกิดเอง | ||
| 
kah1   | 
“แก้” | 
nkah1   | 
“คลาย” | 
| 
toh1    | 
“เปิด” | 
ntoh1    | 
“บาน” | 
| 
puik1   | 
“ถอด” | 
npuik1   | 
“หลุด” | 
| 
pah1   | 
“หว่าน” | 
npah1   | 
“กระจาย” | 
(2) prefix /n`/ ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ต่างๆกัน ดังนี้    
- prefix /n`/ นำหน้าคำกริยา
เพื่อเปลี่ยนคำกริยาเกิดเองปกติ เป็นคำกริยาที่ถูกทำให้เกิด ตัวอย่างเช่น    
| 
คำกริยาเกิดเอง | 
กริยาทำให้เกิด | ||
| 
l6at1 | 
กลัว
   | 
n`l6at | 
หลอก
  (ทำให้กลัว) | 
| 
liel1 | 
หมุน | 
n `l6iel1 | 
เหวี่ยง
  (ทำให้หมุน) | 
| 
kFl6 2 | 
รัก | 
 n`kFl62 | 
จีบ
  (ทำให้รัก) | 
          -
prefix /n`/ นำหน้าคำกริยา
เพื่อเปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม ตัวอย่างเช่น 
  
| 
คำกริยา | 
คำนาม | ||
| 
sat1 | 
หวี | 
n`
  sat1 | 
หวี | 
| 
vh2 | 
กรีด | 
n` vh2 | 
มีด | 
| 
xah1 | 
ดอง | 
n` xah1 | 
ผักดอง | 
- prefix /n`/ นำหน้าคำนาม
เพื่อเปลี่ยนคำนามเป็นคำลักษณนาม
ตัวอย่างเช่น      
| 
คำนาม | 
คำลักษณนาม | ||
| 
üuN1 | 
หมู่บ้าน | 
n` üuN1 | 
หมู่
  (1หมู่บ้าน) | 
| 
meiN1 | 
กำมือ | 
n` meiN1 | 
กำ
  (หนึ่งกำมือ) | 
| 
han1 | 
รัง | 
n`
  han1 | 
รัง
  (รังนก 1รัง) | 
          -
prefix /n`/
นำหน้าคำกริยาหรือหน้าคำนาม เพื่อเปลี่ยนคำนั้นให้เป็น ลักษณนามของคำกริยา
และลักษณนามของคำนาม ตัวอย่างเช่น
| 
          กริยา | 
ลักษณนามสำหรับคำกริยา
   | ||
| 
mk2 | 
ฟัน | 
n` mk2 | 
ครั้ง
  (ฟัน 1 ครั้ง) | 
| 
mok2 | 
นั่ง | 
n` mok2 | 
นั่ง
  (นั่ง 1 ครั้ง/ นั่งสักครู่)  | 
| 
puk2 | 
ขุด | 
n` puk2 | 
ขุด
  (ขุดหนึ่งจอบ / 1 ครั้ง) | 
- prefix /n`/
นำหน้าคำคุณศัพท์ เพื่อเปลี่ยนจากคำคุณศัพท์ ให้มีความหมายเป็น
ทำให้เกิดคุณศัพท์นั้น ตัวอย่างเช่น       
| 
คำคุณศัพท์ | 
ทำให้เกิดคุณศัพท์ | ||
| 
n6om1 | 
ดี | 
n` n6om1 | 
ทำให้ดี | 
| 
mFl3 | 
เลว | 
n`
  mFl3 | 
ทำให้เลว | 
| 
vuk1 | 
เบี้ยว | 
n
  `vuk1 | 
ทำให้เบี้ยว | 
(3) 
prefix
 / ka/4 / เพื่อแปรความหมายจากการทำกริยานั้นคนเดียว เป็น “ทำกริยานั้นร่วมกัน
หรือ ต่างก็ทำกริยานั้นเหมือนกัน”  คล้ายกับที่ภาษาไทยเติมคำว่า “กัน” ไว้หลังคำกริยา ตัวอย่างเช่น 
| 
คำกริยา | 
ความหมายใหม่ | ||
| 
nk2   | 
“มอง” | 
ka/4  nk2     | 
“มองกัน” | 
| 
mk2   | 
“ฟัน” | 
ka/4  mk2    | 
“ฟันกัน” | 
| 
lFh1    | 
“ตี” | 
ka/4 lFh1       | 
“ตีกัน” | 
| 
tþoh2   | 
“ช่วย” | 
ka/4  tþoh2     | 
“ช่วยกัน” | 
          1.2 หน่วยคำเติมท้าย (Suffix) 
                   จากการศึกษาข้อมูลพบว่าภาษาปลังมีหน่วยคำเติมท้าย
/a4/
มีข้อกำหนดในเรื่องของเสียงคือ เมื่อเติมเข้าไปหลังคำใด
ถ้าเป็นคำที่มีพยัญชนะท้ายก็จะใช้พยัญชนะท้ายของคำนั้นมาสร้างเป็นพยางค์ใหม่ แล้วใช้พยางค์ใหม่นี้เป็นคำลักษณนามของคำนามตัวหน้า
ตัวอย่างเช่น         
| 
          นาม | 
suffix | 
ตัวเลข | 
| 
n` xN2 | 
Na4 | 
ka/4  ti/4 | 
| 
ม้า | 
ลักษณนาม (ตัว) | 
หนึ่ง | 
| 
npFN2 | 
Na4 | 
ka/4  ti/4 | 
| 
ประตู | 
ลักษณนาม (บาน) | 
หนึ่ง | 
|  | ||
| 
tFn4 | 
na4 | 
ka/4  ti/4 | 
| 
ไฟ | 
ลักษณนาม (ดวง) | 
หนึ่ง | 
          1.3 หน่วยคำเติมครอบ (circumfix) /pa/4 ___a4/ หน่วยคำเติมลักษณะนี้จะเติมครอบหน้าและหลังรากคำเดิม
ส่วนที่เติมหน้าคือ /pa/4/  ส่วนที่เติมหลังคือ
/a4/ โดยทั้งสองส่วนจะเกิดขึ้นคู่กันเสมอเพื่อครอบคำที่ต้องการใช้
ทำหน้าที่เพิ่มความเข้มข้นของความหมายให้มีปริมาณหรือคุณภาพมากยิ่งขึ้น
วิธีการเติมท้ายใช้รูปแบบเดียวกันกับหน่วยคำเติมท้ายในข้อ 1.2               
| 
คำคุณศัพท์เดิม | 
เติมหน่วยคำเติมครอบ | 
ความหมายใหม่ | |
| 
lN3 | 
ดำ | 
pa/4 lN3 Na4 | 
ดำ
  (มะเมื่อม) | 
| 
paiN2 | 
ขาว | 
pa/4
  paiN2 Na4 | 
ขาว
  (บริสุทธิ์) | 
| 
m6un2 | 
เทา | 
pa/4 m6un2 na4 | 
เทา
  (ขมุกขมัว) | 
| 
nom1 | 
ดี | 
pa/4
  nom1 ma4 | 
ดีดี
  (ดีๆอยู่) | 
| 
Et1 | 
เล็ก | 
pa/4  Et1
  ta4 | 
เล็ก
  (กระจิดริด)   | 
| 
vah2 | 
กว้าง | 
pa/4  vah2  ta4 | 
กว้าง
  (กว้างใหญ่ไพศาล) | 
            ข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าภาษาปลังมีหน่วยคำเติมสามประเภท
คือ หน่วยคำเติมหน้า หน่วยคำเติมท้าย และหน่วยคำเติมครอบ แต่ไม่พบหน่วยคำเติมกลาง หน่วยคำเติมทั้งสามลักษณะข้างต้นสามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้
| 
หน่วยคำเติมภาษาปลัง | 
Affix | 
ทำหน้าที่ | 
| 
หน่วยคำเติมหน้า | 
/n/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม | 
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำลักษณนาม | ||
| 
เปลี่ยนคำกริยาถูกทำให้เกิด
  เป็น คำกริยาเกิดเองปกติ | ||
| 
/ n` / | 
เปลี่ยนคำกริยาเกิดเองปกติเป็นคำกริยาถูกทำให้เกิด | |
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม | ||
| 
เปลี่ยนคำนามเป็นคำลักษณนาม | ||
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำลักษณนาม | ||
| 
เปลี่ยนคำคุณศัพท์เป็นการทำให้เกิดคุณศัพท์ | ||
| 
/ka/4/ | 
เปลี่ยนจากการทำกริยาฝ่ายเดียวเป็นทำกริยาสองฝ่าย
   | |
| 
หน่วยคำเติมท้าย | 
/a4/ | 
สร้างคำลักษณนามจากพยัญชนะท้ายของคำนาม
   | 
| 
หน่วยคำเติมครอบ
   | 
/pa/4 __a4/ | 
เพิ่มความเข้มข้นของความหมายให้มีปริมาณหรือคุณภาพมากยิ่งขึ้น | 
2. หน่วยคำเติมในภาษาเต๋ออ๋าง[12] 
          จากการศึกษาข้อมูลพบว่า ภาษาเต๋ออ๋างมีหน่วยคำเติมประเภทเดียว
คือ หน่วยคำเติมหน้า ซึ่งแบ่งออกได้สองลักษณะคือ
หน่วยคำเติมหน้าที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ และหน่วยคำเติมหน้าคำนาม 
2.1  หน่วยคำเติมหน้า (prefix)
ที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์
(1) prefix / k’/
ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ต่างๆกัน ดังนี้    
- prefix
/k’/ นำหน้าคำกริยาเพื่อเปลี่ยนความหมายจากการคำกริยาฝ่ายเดียวเป็นทำกริยาสองฝ่าย
ตัวอย่างเช่น 
| 
ทำคนเดียว | 
ความหมาย | 
ทำทั้งสองฝ่าย | 
ความหมาย | 
| 
sn | 
คิด   | 
k’
  sn | 
คิดถึงกัน | 
| 
kla/ | 
ฟัน | 
k’
  kla/ | 
ฟันกัน | 
| 
duh | 
ชน | 
k’duh | 
ชนกัน | 
| 
pEt | 
ทิ้ง | 
k’pEt | 
แยกกัน | 
- prefix /k’/ วางไว้หน้าคำกริยาทำให้เกิด
เพื่อเปลี่ยนเป็นกริยาเกิดเอง ตัวอย่างเช่น
| 
กริยาทำให้เกิด  | 
ความหมาย | 
กริยาเกิดเอง | 
ความหมาย | 
| 
lia/
   | 
ปอก | 
k’
  lia/ | 
ลอก | 
| 
bia/ | 
ฉีก | 
k’
  bia/ | 
ขาด | 
| 
pFh | 
เปิด | 
k’
  pFh | 
อ้า | 
 (2) prefix
/a’/ วางไว้หน้าคำกริยา เพื่อเปลี่ยนให้เป็นคำนาม ตัวอย่างเช่น 
| 
คำกริยา | 
ความหมาย | 
คำนาม | 
ความหมาย | 
| 
bEt  | 
เกี่ยว (ตกปลา) | 
 a’bEt  | 
เบ็ด | 
| 
Ni
   | 
นั่ง | 
a’Ni
   | 
ม้านั่ง | 
| 
tE:/ | 
วัด (กริยา) | 
a’
  tE:/ | 
ไม้บรรทัด | 
| 
gip | 
หนีบ | 
a’gip
   | 
ที่คีบ,กรรไกร | 
2.2
หน่วยคำเติมหน้าคำนาม
          จากการศึกษาพบว่า คำนามในภาษาเต๋ออ๋างมีคำจำนวนมากที่มีหน่วยคำเติมหน้า
แต่หน่วยคำเติมหน้านี้ไม่ได้สื่อความหมายทางไวยากรณ์แต่อย่างใด แต่เป็นการจัดแบ่งคำตามประเภทหรือกลุ่มความหมาย
แต่จากข้อมูลก็พบว่าไม่ชัดเจนหรือเคร่งครัดมากนัก มีดังนี้ 
          (1) prefix /a’/
มักนำหน้าคำนามที่มีความหมายเกี่ยวกับสัตว์ (แต่ก็มีคำที่มี ความหมายอื่นเช่น
ผักผลไม้) ตัวอย่างเช่น 
| 
a’ /U/ | 
หมา | 
a’ miau | 
แมว | 
| 
a’vk | 
นก | 
a’pha:p | 
แมลงสาบ | 
| 
a’pap | 
บวบ | 
a’mai | 
อ้อย | 
            (2) prefix /k’/
มักนำหน้าคำนามที่มีความหมายเกี่ยวกับอวัยวะ (แต่ก็มีคำที่มีความหมายอื่น)
ตัวอย่างเช่น                          
| 
k’ding | 
สะดือ | 
k’nam | 
คาง | 
| 
k’nui/ | 
ส้นเท้า | 
k’ga/ | 
ผี | 
| 
k’man | 
ดาว | 
k’ba | 
แผ่นไม้ไผ่ | 
            (3) prefix /m`’/
มักนำหน้าคำนามที่มีความหมายเกี่ยวกับพืชผักผลไม้ (แต่ก็มีคำที่มีความหมายอื่น)
ตัวอย่างเช่น             
| 
m`’
  phrit | 
พริก | 
m`’brut | 
พริกไท | 
| 
m`’va:u | 
มะละกอ | 
m`’tþk | 
ส้ม | 
| 
m`’blu/ | 
ผ้าโพกหัว | 
m`’brE | 
หนอน | 
            (4)
prefix /n`’/ นำหน้าคำนาม
แต่ไม่ระบุกลุ่มความหมายแน่นอน ตัวอย่างเช่น 
| 
n`’ka:t | 
พริกชนิดหนึ่ง | 
n`’
  /a:n | 
ป้า | 
| 
n`’dEN | 
ถนน | 
n`’ruh | 
เตียงนอนผิงไฟ | 
            (5) prefix
/ma/ นำหน้าคำนาม  ไม่ระบุกลุ่มความหมายแน่นอน ตัวอย่างเช่น  
| 
ma
  kriN | 
หนอนไผ่ | 
ma l6Ek  | 
เหล็ก | 
| 
ma
  phiar | 
ผึ้ง | 
ma
  ha:n | 
ห่าน | 
            จากการศึกษาข้อมูล
พบว่าภาษาเต๋ออ๋างมีเพียงหน่วยคำเติมหน้า ไม่พบหน่วยคำเติมลักษณะอื่น จากข้อมูลหน่วยคำเติมหน้าที่ได้กล่าวมาข้างต้น
สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ 
| 
หน่วยคำเติมภาษาเต๋ออ๋าง | 
Affix  | 
ทำหน้าที่ | 
| 
หน่วยคำเติมหน้า
  ที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ | 
/k’/ | 
เปลี่ยนกริยาฝ่ายเดียว
  เป็น กริยาสองฝ่าย | 
| 
/k’/ | 
เปลี่ยนกริยาทำให้เกิด เป็นกริยาเกิดเอง | |
| 
/a’/ | 
เปลี่ยนกริยาเป็นคำนาม | |
| 
หน่วยคำเติมหน้าคำนาม | 
/a’/ | 
มักนำหน้าคำนามที่มีความหมายเกี่ยวกับสัตว์ | 
| 
/k’/ | 
มักนำหน้าคำนามที่มีความหมายเกี่ยวกับอวัยวะ | |
| 
/m`’/ | 
มักนำหน้าคำนามที่มีความหมายเกี่ยวกับพืชผักผลไม้ | |
| 
/n`’/ | 
ไม่ระบุ | |
| 
/ma/ | 
ไม่ระบุ | 
3.
หน่วยคำเติมในภาษาหว่า 
จากการศึกษาข้อมูลพบว่า
ภาษาหว่ามีหน่วยคำเติมสองประเภท คือ หน่วยคำเติมหน้า และหน่วยคำเติมท้าย  
3.1  หน่วยคำเติมหน้า (prefix)
 ที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์
(1) prefix /k/
จะเกิดกับคำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ /l/ ทำหน้าที่เปลี่ยนจากคำนามเป็นคำกริยา  ตัวอย่างเช่น 
| 
คำนาม | 
ความหมาย | 
 คำกริยา | 
ความหมาย | 
| 
liaN | 
หินที่ใช้บดหรือลับมีด | 
kliaN | 
บด,ลับ(ก.) | 
| 
liN | 
กี่ทอผ้า | 
kliN | 
ทอ
  (ก.) | 
          (2) prefix /g หรือ gh/ วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ที่มีพยัญชนะต้น
/l หรือ lh/  ทำหน้าที่บอกปริมาณที่มากขึ้น หนาแน่นขึ้น
เข้มข้นขึ้น ตัวอย่างเช่น  
| 
คำภาษาหว่า | 
ความหมาย | 
เติมหน่วยคำเติมหน้า | 
ความหมาย | 
| 
laN | 
ยาว | 
g laN | 
ยาวเหลือเกิน | 
| 
lhauN | 
สูง | 
g lhauN | 
สูงเหลือเกิน | 
                   (3) prefix /tþau,kn/ มีลักษณะเป็นหน่วยพยางค์
เติมหน้ารากศัพท์ที่เป็นคำกริยาเพื่อเปลี่ยนให้คำกริยานั้นเป็นคำนาม
หรือเป็นผู้ที่กระทำ หรือสิ่งที่ใช้กระทำกริยานั้น
หรือไม่ก็ทำหน้าที่เปลี่ยนจากคำนามที่เป็นเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ ซึ่งหน่วยคำเติมดังกล่าวนี้ไม่สามารถปรากฏและมีความหมายด้วยตัวเองตามลำพังได้
ตัวอย่างเช่น 
| 
รากศัพท์ | 
ความหมาย | 
เติมหน่วยคำเติมหน้า | 
ความหมายใหม่ | 
| 
tþaµ | 
สั่ง | 
tþau tþaµ | 
ผู้สั่ง
   | 
| 
liaN | 
เลี้ยงสัตว์ | 
tþau liaN | 
คนเลี้ยงสัตว์ | 
| 
tk | 
ตี
  เคาะ | 
k n tk | 
ไม้ตี | 
| 
pui | 
คน | 
kn pui  | 
ผู้คน | 
(4) prefix /kok/ มีลักษณะเป็นหน่วยพยางค์ ใช้เติมหน้ารากคำเดิมทำให้รากคำ
นั้นมีความหมายห่างไกล
แยกออก หรือมีระดับมากขึ้นจากความหมายเดิม ซึ่งหน่วยคำเติมดังกล่าวนี้ไม่สามารถปรากฏและมีความหมายด้วยตัวเองตามลำพังได้
ตัวอย่างเช่น 
| 
รากคำเดิม | 
ความหมายเดิม | 
เติมหน่วยคำเติมหน้า | 
ความหมายใหม่ | 
| 
buan | 
เพ่งมอง | 
kok buan | 
ชะเง้อมอง | 
| 
tiaN | 
ทิ้ง | 
kok
  tiaN | 
ขว้าง | 
| 
üo | 
ร้อง | 
kok
  üo | 
ตะโกน | 
(5) prefix /pu,du,tþu,su/ มีลักษณะเป็นหน่วยพยางค์ ที่สร้างขึ้นมาจาก
การนำพยัญชนะต้นของคำเดิมมาบวกกับสระ
/u/ แล้วใช้เป็นหน่วยคำเติมหน้า ทำให้รากศัพท์คำนั้นสื่อความหมายว่ามีความถี่มากขึ้น
มีการกระทำกริยานั้นซ้ำๆกันมากขึ้น ซึ่งหน่วยคำเติมดังกล่าวนี้ไม่สามารถปรากฏและมีความหมายด้วยตัวเองตามลำพังได้
 
| 
รากศัพท์ | 
ความหมาย | 
เติมหน่วยคำเติมหน้า | 
ความหมายใหม่ | 
| 
paik | 
จับ | 
pu paik | 
สาว
  (กริยา) | 
| 
dik | 
เหยียบ | 
du
  dik | 
ย่ำ | 
| 
tþa | 
ชิง
  แย่ง | 
tþu tþa | 
ยื้อแย่ง | 
| 
siah | 
เล็ก | 
su
  siah | 
ละเอียด
   | 
3.2
หน่วยคำเติมหน้าที่ไม่ได้ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ จากการศึกษาพบว่า
มีคำภาษาหว่าจำนวนหนึ่งที่มีหน่วยคำเติมหน้า
แต่หน่วยคำเติมหน้านี้ไม่ได้สื่อความหมายทางไวยากรณ์แต่อย่างใด
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์กลุ่มความหมาย ชนิดของคำ ก็ไม่พบว่าหน่วยคำเติมหน้านี้จะทำหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใดที่ชัดเจน
คือ 
          (1) prefix / si
/ ไม่สามารถแยกรากคำได้ ทั้งสองส่วนต้องปรากฏร่วมกันเสมอ 
| 
si /aN | 
กระดูก | 
| 
si mau/ | 
หิน | 
| 
si mah | 
ทะเลาะ | 
| 
si Nai | 
ไกล | 
          (2) prefix / si
/ สามารถแยกออกจากรากคำได้ โดยที่คำเดิมความหมายและหน้าที่ทางไวยากรณ์ไม่เปลี่ยน
| 
รากคำเดิม | 
prefix | 
ความหมายของทั้งสองคำเหมือนกัน | 
| 
dai/ | 
si  dai/  | 
แปด | 
| 
daiN | 
si  daiN | 
พิเศษ | 
| 
dim | 
si  dim | 
เก้า | 
| 
gaµ | 
si  gaµ | 
ดีใจ | 
 3.3 หน่วยคำเติมท้าย
มีลักษณะเป็นหน่วยพยางค์ เติมท้ายรากศัพท์เดิมเพื่อเสริมน้ำเสียง
พยางค์ที่เติมท้ายนี้พยัญชนะต้นเป็นเสียงเดียวกันกับคำเดิม การเติมหน่วยคำเติมท้ายนี้ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความหมาย
จะมีหรือไม่มีก็ได้ ลักษณะคล้ายกับคำซ้อนเพื่อเสียงในภาษาไทย
และส่วนที่เติมท้ายนี้ไม่สามารถปรากฏและมีความหมายด้วยตัวเองตามลำพังได้
ตัวอย่างเช่น
| 
รากศัพท์ | 
ความหมาย | 
เติมหน่วยคำเติมท้าย | 
ความหมายใหม่ | 
| 
prE/ | 
อาหาร | 
prE/ prµm | 
(อาหารการกิน) | 
| 
rhm | 
หัวใจ | 
rhm rhi | 
(หัวจิตหัวใจ) | 
| 
dau/ | 
แปลก | 
dau/ deN | 
(แปลกประหลาด) | 
| 
lhak | 
ฉลาด | 
 lhak  lhiau | 
(ฉลาดเฉลียว) | 
จากการศึกษาข้อมูล  พบว่าภาษาหว่ามีหน่วยคำเติมหน้าและหน่วยคำเติมท้าย
แต่ไม่มีหน่วยคำเติมกลางและเติมครอบ จากข้อมูลหน่วยคำเติมหน้าที่ได้กล่าวมาข้างต้น
สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ 
| 
หน่วยคำเติมภาษาหว่า | 
Affix  | 
ทำหน้าที่ | 
| 
หน่วยคำเติมหน้า | 
/k/ | 
เปลี่ยนคำนามเป็นคำกริยา | 
| 
/g หรือ gh/   | 
เพิ่มความหมายมากขึ้น
  หนาแน่นขึ้น  | |
| 
/tþau,kn/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม | |
| 
/tþau,kn/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม(ผู้กระทำ
  / สิ่งที่ใช้ประทำ)  | |
| 
/kok/ | 
เพิ่มความห่างไกลออกไป แยกออก | |
| 
/pu,du,tþu,su/ | 
มีความถี่มากขึ้น
  ซ้ำ กันมากขึ้น | |
| 
หน่วยคำเติมท้าย | 
ซ้ำพยัญชนะต้นเปลี่ยนเสียงสระ | 
ซ้อนเพื่อเสียง | 
สรุปและอภิปราย
          บทความนี้มุ่งอธิบายเกี่ยวกับหน่วยคำเติมของภาษาตระกูลมอญ-เขมรที่พูดอยู่ในประเทศจีนสามภาษาคือ
ภาษาปลัง ภาษาเต๋ออ๋าง และภาษาหว่า จากการศึกษาพบว่า
ภาษาทั้งสามมีการใช้หน่วยคำเติมสองลักษณะ คือ 
1.แบบที่เติมแล้วทำให้คำมีการเปลี่ยนหน้าที่ทางไวยากรณ์หรือความหมาย
มี 9 แบบ ได้แก่(1) เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม (2)เปลี่ยนคำนามเป็นคำกริยา (3) เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำลักษณนาม
(4) เปลี่ยนคำนามเป็นคำลักษณนาม (5) เปลี่ยนกริยาทำให้เกิดเป็นกริยาเกิดเอง (6)เปลี่ยนกริยาเกิดเองเป็นกริยาถูกทำให้เกิด
(7) เปลี่ยนคำคุณศัพท์เป็นคำที่ทำให้เกิดคุณศัพท์ (8) เปลี่ยนการกระทำฝ่ายเดียวเป็นการกระทำสองฝ่าย
(9) เพิ่มความเข้มข้นของความหมาย
2.แบบที่เติมแล้วไม่ได้ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์
เป็นเพียงการเติมเพื่อเสียง หรือเพื่อจัดกลุ่มคำที่มีความหมายเดียวกัน หรือเป็นคำชนิดเดียวกัน
แต่ทั้งนี้ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าทำหน้าที่ใด
หรือไม่ทำหน้าที่ก็มี 
ข้อมูลการใช้หน่วยคำเติมของทั้งสามภาษาสรุปเป็นตารางต่อไปนี้  
| 
ภาษา | 
affixation | 
prefix | 
infix | 
Suffix
   | 
circumfix | 
| 
ปลัง | 
/n/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำลักษณนาม |  |  |  | ||
| 
เปลี่ยนกริยาทำให้เกิดเป็นกริยาเกิดเอง |  |  |  | ||
| 
/n/`  | 
เปลี่ยนกริยาเกิดเองเป็นกริยาถูกทำให้เกิด |  |  |  | |
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม |  |  |  | ||
| 
เปลี่ยนนามเป็นคำลักษณนาม |  |  |  | ||
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำลักษณนาม |  |  |  | ||
| 
เปลี่ยนคำคุณศัพท์เป็นคำที่ทำให้เกิดคุณศัพท์ |  |  |  | ||
| 
/ka/4/ | 
เปลี่ยนการกระทำฝ่ายเดียวเป็นการกระทำสองฝ่าย |  |  |  | |
| 
/a4/ |  |  | 
เปลี่ยนคำนามเป็นคำลักษณนาม |  | |
| 
/pa/4
  __a4/ |  |  |  | 
เพิ่มความเข้มข้นของความหมาย | |
| 
เต๋ออ๋าง | 
/a’/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม |  |  |  | 
| 
/k’/ | 
เปลี่ยนการกระทำฝ่ายเดียวเป็นการกระทำสองฝ่าย |  |  |  | |
| 
/m’,  k’ / | 
เปลี่ยนกริยาเกิดเองเป็นกริยาถูกทำให้เกิด |  |  |  | |
| 
หว่า | 
/k/ | 
เปลี่ยนคำนามเป็นคำกริยา |  |  |  | 
| 
/g/ หรือ /gh/ | 
เพิ่มความเข้มข้นของความหมาย |  |  |  | |
| 
/tþau,kn/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม |  |  |  | |
| 
/tþau,kn/ | 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม
  (ผู้กระทำ) |  |  |  | |
| 
/kok/ | 
เพิ่มความเข้มข้นของความหมาย |  |  |  | |
| 
/pu,du,tþu,su/ | 
เพิ่มความเข้มข้นของความหมาย |  |  |  | |
| 
พยัญชนะเดียวกันเปลี่ยนเสียงสระ
   |  |  | 
ซ้อนเพื่อเสียง |  | 
          จากการเปรียบเทียบหน่วยคำเติมใน
ภาษาปลัง ภาษาเต๋ออ๋าง และภาษาหว่า พบว่า ภาษาปลังมีการใช้หน่วยคำเติมหน้า หน่วยคำเติมท้าย
และหน่วยคำเติมครอบ ภาษาเต๋ออ๋างมีการใช้หน่วยคำเติมหน้าอย่างเดียว
ส่วนภาษาหว่ามีการใช้หน่วยคำเติมหน้าและหน่วยคำเติมท้ายในลักษณะของการซ้อนเพื่อเสียง
ทั้งสามภาษาไม่มีการใช้หน่วยคำเติมกลาง นอกจากนี้พบลักษณะร่วม คือ ทั้งสามภาษามีการใช้หน่วยคำเติมหน้าเพื่อเปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนามเหมือนกัน
  ภาษาปลังและภาษาเต๋ออ๋างมีการใช้หน่วยคำเติมหน้าเพื่อเปลี่ยนการกระทำฝ่ายเดียวเป็นการกระทำสองฝ่าย
ภาษาปลังและภาษาหว่ามีการเพิ่มความเข้มข้นของความหมาย แต่ใช้วิธีต่างกัน
คือภาษาปลังใช้หน่วยคำเติมครอบ ส่วนภาษาหว่าใช้หน่วยคำเติมหน้า พิจารณาจากปริมาณการใช้หน่วยคำเติมพบว่า
การเติมหน่วยคำเติมหน้าเป็นวิธีที่ใช้มากที่สุด
รองลงมาคือ หน่วยคำเติมท้ายและหน่วยคำเติมครอบตามลำดับ ส่วนภาษาที่มีการใช้หน่วยคำเติมมากที่สุดคือภาษาปลัง
รองลงมาคือภาษาเต๋ออ๋างและภาษาหว่าตามลำดับ ข้อมูลต่างๆ สรุปเป็นตารางต่อไปนี้ (p=prefix, i
= infix, s =suffix, c = circumfix) 
| 
การทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ | 
ปลัง | 
เต๋ออ๋าง | 
หว่า | |||||||||
| 
p | 
i | 
s | 
c | 
p | 
i | 
s | 
c | 
p | 
i | 
s | 
c | |
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม (ผู้กระทำกริยา) | 
/ |  |  |  | 
/ |  |  |  | 
/ |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนคำนามเป็นคำกริยา |  |  |  |  |  |  |  |  | 
/ |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนคำกริยาเป็นคำลักษณนาม | 
/ |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนคำนามเป็นคำลักษณนาม |  |  | 
/ |  |  |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนกริยาทำให้เกิดเป็นกริยาเกิดเอง |  |  |  |  | 
/ |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนกริยาเกิดเองเป็นกริยาถูกทำให้เกิด | 
/ |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนคำคุณศัพท์เป็นคำที่ทำให้เกิดคุณศัพท์ | 
/ |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
เปลี่ยนการกระทำฝ่ายเดียวเป็นการกระทำสองฝ่าย | 
/ |  |  |  | 
/ |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
เพิ่มความเข้มข้นของความหมาย |  |  |  | 
/ |  |  |  |  | 
/ |  |  |  | 
| 
ซ้อนเพื่อเสียง |  |  |  |  |  |  |  |  |  |  | 
/ |  | 
| 
เติมหน้าคำนาม |  |  |  |  | 
/ |  |  |  |  |  |  |  | 
| 
ไม่แสดงความหมาย |  |  |  |  | 
/ |  |  |  |  |  |  |  | 
บรรณานุกรม
เมชฌ
สอดส่องกฤษ.(2556) ปู้หล่าง
: ภาษาตระกูลมอญเขมรในประเทศจีนตามทรรศนะของ
          นักวิชาการจีน.วารสารศาสนาและวัฒนธรรม.วิทยาลัยศาสนศึกษา.มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่
8 
          ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2557)
_______________. (2557) เต๋ออ๋าง : ภาษาตระกูลมอญเขมรในประเทศจีนตามทรรศนะของ
          นักวิชาการจีน.
วารสารอารยธรรมโขงสาละวิน.สถานอารยธรรมศึกษาโขง-สาละวิน
 มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปีที่ 5
ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557. 
_______________. (2557) ชาติพันธุ์วรรณนากลุ่มชาติพันธุ์มอญ-เขมรในประเทศสาธารณรัฐ
          ประชาชนจีน.เอกสารรวมบทความวิชาการและบทความวิจัยการประชุมวิชาการระดับชาติ
 มนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์.
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี .อุบลราชธานี : วิทยาการ
พิมพ์.
สุริยา
รัตนกุล.(2531) นานาภาษาในเอเชียอาคเนย์ ภาคที่ 1: ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกและ
          ภาษาตระกูลจีน-ธิเบต.
กทม.สถาบันภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท  
          มหาวิทยาลัยมหิดล. 
陈相木, 王敬骝, 赖永良。(1986)《德昂语简志》北京:民族出版社。
(Chén, X-M. et. al.(1986)Da-angyu
jianzhi. Beijing 
(A
description of  the Ta-ang language, in
Chinese).เฉินเซียงมู่ หวางจิ้งหลิวและ
ล่ายหย่งเหลียง.(1986)  ปริทรรศน์ภาษาเต๋ออ๋าง . ปักกิ่ง:สำนักพิมพ์ชนเผ่า.) 
李道勇、聂锡珍、邱鹗锋。(1986)《布朗语简志》北京:民族出版社.
(Li, Dao Yong, Nie Xi Zhen and Qiu E Feng. (1986).
Bulangyu jianzhi. Chinese 
 Academy 
          of
Social Sciences, Beijing 
          และชิวเอ้อเฟิง.(1986) ปริทรรศน์ภาษาปู้หล่าง.ปักกิ่ง:สำนักพิมพ์ชนเผ่า.)
颜其香, 周值志。(1995)《中国孟高棉语族语言与南亚语系》。北京:中央民族大学出
            版社 : 新华书店北京发行所发行。
(เหยียนฉีเซียง,โจวจื๋อจื้อ
(1995) ภาษากลุ่มมอญ-เขมรกับภาษาสายตระกูลออสโตรเอเชียติกใน
          ประเทศจีน.ปักกิ่ง:สำนักพิมพ์ชนเผ่า.) 
周值志,颜其香。(1984)《佤语简志》北京:民族出版社。
(Zhou Zhizhi,Yan Qixiang.(1984) Wayu
Jianzhi
(A description of  the Wa language, in 
          Chinese). National
Minorities Press. โจวจื๋อจื้อ,เหยียนฉีเซียง. (1984) ปริทรรศน์ภาษา
          หว่า.ปักกิ่ง:สำนักพิมพ์ชนเผ่า.)
[1] รองศาสตราจารย์
ดร.เมชฌ สอดส่องกฤษ.  สาขาภาษาและวรรณคดีตะวันออก
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 
[11] อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับภาษาปลังได้ในบทความเรื่อง “ปู้หล่าง
: ภาษาตระกูลมอญ-เขมรในประเทศจีน
ตามทรรศนะของนักวิชาการจีน” (เมชฌ,2557,17-36)
[12] อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับภาษาเต๋ออ๋างได้ในบทความเรื่อง
“เต๋ออ๋าง : ภาษาตระกูลมอญ-เขมรในประเทศจีน
ตามทรรศนะของนักวิชาการจีน” (เมชฌ,2557,89-101)
[13] เป็นเพียงการเทียบความหมายเท่านั้น ไม่ใช่คำแปล  
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น