วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

“ ซอหัวม้า” เสียงเพรียกจากจิตวิญญาณแห่งทุ่งหญ้ามองโกล


ภาพนี้คัดลอกมาจาก http://news.folkw.com/Fuke_Files/BeyondPic/2007-10/26/W020060210537185099762.jpg
      
   ชาวมองโกล เป็นหนึ่งใน 55 ชนกลุ่มน้อยของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองมองโกล   และกลุ่มปกครองตนเองเผ่ามองโกล ในมณฑลซินเจียง ชิงไห่ กานซู่  เฮยหลงเจียง  จี๋หลิน  เหลียวหนิง         และยังมีกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆของมณฑลหยวินหนาน เหอเป่ย  เสฉวน หนิงเซี่ย  ปักกิ่งเป็นต้น จากการสำรวจจำนวนประชากรครั้งที่ 5 ของจีนในปี 2,000 ชนกลุ่มน้อยเผ่ามองโกล มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 5,813,947 คน  พูดภาษามองโกล  
บรรพบุรุษของชาวมองโกลมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณลุ่มน้ำวั่งเจี้ยน ปัจจุบันคือบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเอ๋อเอ่อร์กู่น่า ในอดีตชาวมองโกลดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ตามทุ่งหญ้ามองโกลอันกว้างใหญ่ จนถึงในปี 1206 เตมูจินรวบรวมชนเผ่ามองโกลและก่อตั้งเป็นชาติมองโกลขึ้นในบริเวณฝั่งแม่น้ำโว่หนาน ถือเป็นการก่อตั้งชาติมองโกลครั้งสำคัญ นับเป็นชนชาติยิ่งใหญ่มั่นคงและมีกำลังเข้มแข็งมากชนชาติหนึ่งในบริเวณภาคเหนือของจีน ทั้งยังขยายอาณาเขตความเจริญรุ่งเรืองออกไปไม่หยุดยั้ง อาณาเขตที่ชนชาติมองโกลปกครอง รวมเรียกว่าอาณาจักรมองโกล และรวมเรียกประชาชนในพื้นที่ปกครองว่าชนชาวมองโกลทั้งหมด
นับตั้งแต่ปี 1219 1260  ภายใต้การนำของเจงกีสข่าน ชนชาติมองโกลทำศึกสงครามขยายอาณาเขตไปทางตะวันตกและลงไปทางใต้ ก่อตั้งประเทศจีนเป็นรูปเป็นร่างขึ้น และก่อตั้งราชวงศ์หยวนขึ้น จากนั้นได้ยังขยายอาณาเขตครอบครองไปถึงดินแดนทางธิเบตเป็นครั้งแรก นับเป็นจุดเริ่มต้นของรากฐานความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินจีนมาจนปัจจุบัน
ชาวมองโกลพักอาศัยอยู่ในกระโจมทรงกลม มีฝาบ้านล้อมรอบซึ่งก่อขึ้นอย่างง่าย ๆ เพื่อสะดวกต่อการอพยพโยกย้าย  ซึ่งเป็นผลพวงทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการดำรงชีวิตเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนมาแต่อดีตนั่นเอง  ภายนอกคลุมด้วยผ้าสักหลาด  ปัจจุบันชาวมองโกลดำรงชีวิตเป็นหลักแหล่งด้วยอิฐ และไม้  แต่ยังคงรักษารูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขี่ม้า ไม่ว่าเดินทางใกล้ไกล ชาวมองโกลจะใช้ม้าเป็นพาหนะคู่กาย และมีวิถีชีวิตผูกพันกับม้าอยู่ตลอดเวลา จนมีคำกล่าวว่า ชาวมองโกลเกิดบนหลังม้า โตบนหลังม้า และตายบนหลังม้า
ชีวิตชาวมองโกลที่ผูกพันกับม้ามายาวนาน ม้าจึงมีความสำคัญในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวมองโกลเป็นอย่างมาก  มีตำนานเรื่องเล่าของชาวมองโกลที่เกี่ยวข้องกับม้ามากมาย  วัฒนธรรมดนตรีก็เช่นเดียวกัน ชาวมองโกลนำม้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมดนตรีได้อย่างไร  คำตอบที่นักดนตรีทั่วไปรู้กันคือ  ใช้แส้ขนหางม้ามาทำเป็นคันชักซอ  แต่วัฒนธรรมดนตรีของชาวมองโกลมีความผูกพันกับม้าลึกซึ้งกว่านั้นมากนัก  
                ซอหัวม้า   ชื่อภาษาจีนเรียกว่า หม่าโถวฉิน  (马头琴 Ma Tou Qin) เป็นเครื่องดนตรีประเภทสีของชาวมองโกลที่มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมายาวนาน   ที่ด้านบน หัวของซอแกะสลักเป็นรูปหัวม้า จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกซอชนิดนี้ว่า ซอหัวม้า”   ซอหัวม้าถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 13 นับอายุได้ราว 1200 ปีมาแล้ว    ซอหัวม้าอยู่คู่กับชาวมองโกล  และเป็นที่นิยมชมชอบเรื่อยมา มีความสำคัญเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชิวิตของชาวมองโกลที่จะขาดเสียมิได้ ด้วยเหตุที่ซอหัวม้านิยมแพร่หลายในกลุ่มชนชาวมองโกลที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลนี้เอง ทำให้ชื่อเรียกของซอหัวม้า ตลอดจนรูปร่าง เสียงของซอ วิธีการบรรเลง แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่  ชาวมองโกเลียในทางตะวันออกเรียกชื่อว่า  เฉาเอ๋อร์  ส่วนทางตะวันตกเรียกชื่อว่า  โม่วหลินหูอู้ร์

ประวัติความเป็นมา
            ซอหัวม้าถือเป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีที่สำคัญที่สุดของชาวมองโกล  แม้จะเป็นเครื่องดนตรีของคีตกรชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน แต่ด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ กินใจ สะท้อนจิตวิญญาณของชาวมองโกลให้ระบือกระฉ่อนไกลไปทั่วโลก 
            เหตุที่ซอหัวม้าเป็นเครื่องดนตรีของชนกลุ่มน้อยที่มีวิวัฒนาการมายาวนาน ทำให้หลักฐานบันทึกเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจนมากนัก มีเพียงตำนานที่ประทับซึ้งตรึงใจเกี่ยวกับการสร้างซอหัวม้าเล่าสืบต่อกันมายาวนานหลายชั่วอายุคนในหมู่นักดนตรีมองโกล  
         ท่ามกลางความหนาวเหน็บของเหมันตฤดู  ปาเธอร์ ชายหนุ่มลูกตระกูลขุนนางเลี้ยงม้าแห่งราชสำนักมองโกล ออกเดินทางไกลร้อยลี้ตามหาม้าที่พลัดหลงออกจากฝูง  จนไปถึงริมบึงแห่งหนึ่ง พบลูกม้าสีขาวยืนโศกเศร้าอาลัยอยู่หน้าถ้ำน้ำแข็ง  ดวงตาทั้งสองข้างคลอด้วยน้ำตา เสียงครางคร่ำอาลัย เป็นที่สลดใจยิ่งนัก ปาเธอร์เห็นดังนั้นก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง  จึงจูงม้าตัวนั้นกลับบ้าน ทั้งม้าทั้งปาเธอร์ต่างดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ว่าปาเธอร์จะไปที่ไหน ม้าน้อยก็จะวิ่งตามไปอยู่ข้างๆไม่ห่าง  เวลากลางคืน ปาเธอร์หลับอยู่ในกระโจม  ม้าน้อยก็จะยืนเฝ้ายามให้อยู่ด้านนอก  หลายสิบปี ม้าน้อยโตขึ้นเป็นม้าที่งดงาม ขนขาวพราวราวหิมะ   สง่างามและแสนรู้มาก  
       ในงานชุมนุมรื่นเริงประจำปี เมื่อปาเธอร์ขี่ม้าคู่ใจออกสู่สนามประลองม้า ม้าขาวสีหมอกระยับเป็นที่จับตาต้องใจของผู้พบเห็นยิ่งนัก โดยเฉพาะพระราชาแห่งแคว้น ม้าคู่ใจของปาเธอร์มีชัยในการแข่งขัน และได้รับพระราชทานรางวัลอย่างงามจากพระราชา แต่ปาเธอร์หารู้ไม่ว่าความหายนะกำลังจะมาถึงโดยไม่รู้ตัว
            พระราชาถูกอกถูกใจม้าตัวนี้เป็นอย่างมาก จึงสั่งให้ทหารไปชิงม้าของปาเธอร์  แต่เจ้าสีหมอกก็ไม่ยอมไปกับทหารง่าย ๆอย่างที่คิด  เมื่อทหารกลับมากราบทูล พระราชาจึงเสด็จไปพร้อมกับทหารคนสนิทสี่นาย  พร้อมเชือกคล้องม้า อานม้า เพื่อจะจูงม้ากลับวังให้จงได้  พระราชากระโดดควบม้าด้วยพระองค์เอง แต่ม้ากลับพยศวิ่งชนทหารทั้งสี่  แล้วห้อตะบึงออกนอกสนาม สลัดพระราชากระเด็นตกจากหลังม้า พระราชาพิโรธมาก สั่งให้ทหารล้อมเจ้าสีหมอกตัวนี้ไว้ แล้วสั่งให้มือธนูยิงม้าให้ตายเสีย  ในที่สุด เจ้าสีหมอกสง่าทระนงก็ถูกศรธนูยิงเข้าหลายดอกจนสิ้นแรง แต่ก็ฮึดใจเฮือกสุดท้ายวิ่งฝ่าวงล้อมออกไป  
            ดึกสงัด ปาเธอร์คิดถึงม้า กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล และค่อยๆใกล้ขึ้นทุกขณะ จึงรีบลุกจากที่นอนวิ่งออกมานอกกระโจม ก็เห็นเจ้าสีหมอกคู่ใจนอนสิ้นแรงอยู่หน้ากระโจม  ม้าค่อยๆเชิดหัวขึ้นอย่างยากลำบาก น้ำตาคลอเบ้า  มองหน้าปาเธอร์ด้วยสายตาละห้อยอาลัย พยายามขยับขาพยุงตัวลุกขึ้น แต่ก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่นอนหายใจรวยริน กระดิกพูหางสีขาวสะอาด ราวจะอำลาเจ้าของอันเป็นที่รัก  ปาเธอร์ค่อยๆกอดหัวม้ามานอนที่ตัก พร่ำรำพันบอกม้าว่า ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ว่าเจ้าอยากจะบอกอะไร หลับให้สบายเถิด เจ้าสีหมอกค่อยๆ หลับตาลงและหมดลมหายใจลงในอ้อมกอดที่แสนอาลัยของปาเธอร์
            ปาเธอร์กอดม้าร่ำให้อาลัย จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร พระอาทิตย์ส่องแสงอบอุ่นแห่งรุ่งอรุณ ณ ปลายฟ้าแสนไกลนั้น ปาเธอร์เก็บศพม้าไว้สามวันสามคืน จึงตัดสินใจจัดการฝังศพม้า  แต่ก่อนฝัง ได้ตัดกระดูกท่อนขาม้า และหางม้าไว้เป็นที่ระลึกแขวนไว้ในกระโจม เวลาล่วงเลยไปถึง 99 วัน เจ้าสีหมอกยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของปาเธอร์ไม่เสื่อมคลาย   เสียงของม้ายังคงดังก้องอยู่ในหู  ปาเธอร์จึงคิดหาวิธีให้ม้าอยู่กับตนไปนานแสนนาน จึงประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ใช้กระดูกขาม้าเป็นคันทวน หัวม้าทำเป็นกล่องเสียง หนังม้าขึงเป็นหน้าซอ หางม้าทำเป็นสายซอ  เสาคอกม้าทำเป็นคันชัก  และแกะสลักหัวซอเป็นรูปหัวม้า   เป็นซอหัวม้าคันแรกแห่งแคว้นมองโกล  ทุกครั้งที่ปาเธอร์สีซอหัวม้า  จะใช้เสียงซอพร่ำพรรณนาความทุกข์ระทมและความคิดถึงที่ตนมีต่อม้า ในขณะเดียวกันก็ใช้เสียงซออันไพเราะนี้บอกความเป็นไปและเรื่องราวชีวิตของชนชาวมองโกลดังกังวาน หวานแว่วไปทั่วเวิ้งทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น                         
          ในปีค.ศ. 1206  เจงกีสข่านรวมอำนาจ และก่อตั้งประเทศมองโกลขึ้น  ซอหูเอ่อร์ ซึ่งเป็นรูปร่างดั้งเดิมของซอหัวม้า มีหัวซอเป็นรูปมังกร เป็นที่นิยมชื่นชอบอย่างแพร่หลาย  ในสมัยพระเจ้าเฉียนหลง มีการประดิษฐ์ซอหัวม้าด้ามยาวขึ้น กล่องเสียงสอบลง คลุมหนังหน้าหลัง  ใช้สายที่ทำจากขนม้า และคันชักจากแส้ขนหางม้า  วิวัฒนาการมากว่า 100 ปี  จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 20 ซอใหม่ชื่อเฉาเอ่อร์ได้เปลี่ยนหัวจากหัวมังกรเป็นหัวม้า
ส่วนประกอบของซอหัวม้า
            ซอหัวม้าแบบดั้งเดิมมีหัวซอเป็นรูปม้า  ชาวมองโกล ประดิษฐ์ขึ้นและบรรเลงสืบทอดต่อกันมา แบ่งเป็นสองชนิดคือ ซอใหญ่และซอเล็ก เพื่อใช้บรรเลงในและนอกสถานที่ ซอใหญ่เหมาะสำหรับบรรเลงนอกสถานที่ ตามสภาพท้องทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ของชาวมองโกล ส่วนซอเล็กใช้บรรเลงภายในบ้าน  ซอใหญ่ยาว 100 เซนติเมตร ซอเล็กยาว 70 เซนติเมตร  กล่องเสียงทำด้วยไม้เป็นกรอบรูปทรงสี่เหลี่ยม  หน้าหลังคลุมด้วยหนังม้า หนังวัว หรือหนังแกะ  บนหนังวาดรูปลวดลายประจำเผ่า  หัวซอแกะสลักเป็นรูปหัวม้างดงาม ลูกบิดเสียบเข้าสองข้างของหัวซอข้างละ 1 อัน  สายซอทำจากขนม้าความยาว 40 60 เซนติเมตร สายเอกขวั้นจากขนหางม้า 120 เส้น สายทุ้ม 180 เส้น คันชักทำจากหวายขึงด้วยแส้ขนหางม้า เมื่อแส้ขนหางม้าของคันชัก สีเข้ากับสายซอที่ทำจากขนหางม้าเกิดเป็นเสียงขึ้น
            เสียงซอหัวม้านุ่มนวล ลุ่มลึก ส่งเสียงกู่ก้องร้องเพรียกจากจิตวิญญาณและความหวังจากก้นบึ้งหัวใจของชนชาวเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ดังแว่วมาจากฟากฟ้าแดนไกล  จับจิตตรึงใจผู้ได้ยินได้ฟัง  สะกดให้หลงใหลอยู่ในห้วงไออุ่นแห่งอ้อมกอดของทุ่งหญ้ามองโกล     เสียงซอหัวม้าสำเนียง โหยหวน แต่หนักแน่นไพเราะกินใจ  เป็นเครื่องดนตรีที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวมองโกล และได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน 
การบรรเลง
            ซอหัวม้าตั้งสายเป็นคู่ห้า สายนอกเสียงสูง สายในเป็นเสียงต่ำ แต่การกำหนดเสียงประจำสายไม่แน่นอน สามารถปรับเปลี่ยนไปตามเสียงสูงต่ำของผู้ร้อง เครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบ ตั้งตามเสียงสูงต่ำของบทเพลง และตั้งตามช่วงกว้างของเสียงในแต่ละเพลง  อาจตั้งเสียงเป็น [2—6] , [1—5 ] , [3—7] , [6 3]  เป็นต้น  ตำแหน่งการกดนิ้ว และเสียงของซอหัวม้าดังแผนผังเสียงต่อไปนี้
            ลักษณะการบรรเลงคือ ผู้บรรเลงนั่งบนเก้าอี้ หรือบนพื้นสูง ตั้งซอไว้ที่หว่างขา เหมือนกับการบรรเลงเชลโล มือซ้ายประคองที่คันทวน ใช้นิ้วทั้งสี่กดหรือดันสายเพื่อกำหนดระดับเสียงสูงต่ำ  กล่าวคือ นิ้วชี้กับนิ้วกลางสอดลงไต้สายใช้เล็บดันสายบังคับเสียง นิ้วนางใช้ปลายนิ้วกดสาย  นิ้วก้อยใช้ปลายนิ้วดันสาย  นอกจากนี้วิธีการบรรเลงยังมีการพรมนิ้ว ขย่มสาย เสียงคู่ประสาน ดึงสาย โหยเสียง มือขวาถือคันชัก สีลงบนสายทั้งสองเป็นเสียงประสาน หรือสายเดียวเป็นเสียงเดี่ยว วิธีการใช้คันชักนอกจากจะสีเข้าออกตามปกติแล้ว ยังมีวิธีอื่น ๆ เช่น  สีเป็นห้วงๆ  ตีคันชัก สะบัด กระโดด กระจายเป็นต้น  
            เหตุที่การตั้งเสียงสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมนี้เอง ทำให้ซอหัวม้าสามารถใช้บรรเลงเพลงที่คีตกวีชาวมองโกลแต่งขึ้นเอง อันเป็นท่วงทำนองเพลงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวของชาวมองโกลได้อย่างกว้างขวาง  ขณะเดียวกันที่กระแสดนตรีภายนอกเผยแพร่เข้ามา ชาวมองโกลก็มิได้ทิ้งซอหัวม้าไปแต่อย่างใด ด้วยลักษณะเด่นของซอหัวม้าที่สามารถปรับเสียงบรรเลงกับดนตรีอื่นจึงสามารถใช้ซอหัวม้าบรรเลงได้อย่างไพเราะกลมกลืน  วิวัฒนาการของการบรรเลงซอหัวม้าเกิดขึ้นพร้อมๆกับวิวัฒนาการด้านเพลงร้องของมองโกล ท่วงทำนองดนตรีและการขับร้องจึงมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน เอกลักษณ์การขับร้องของชาวมองโกลคือการเอือนลูกคอยาว ๆ และใช้เสียงสั่งเครือ การโหยเสียงต่ำแล้วขึ้นสูงทันที หรือจากเสียงสูงแล้วลงต่ำทันที  บทเพลงของซอหัวม้ามีลักษณะเดียวกัน ถือเป็นเอกลักษณ์ด้านเพลงและดนตรีของชาวมองโกลที่กินใจแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง      
เพลงเอกของซอหัวม้า
            หม่าโถวฉินเตอฉวนซัว (ตำนานซอหัวม้า)  หยงหย่วนเตอหม่าโถวฉิน (ซอหัวม้าอันเป็นนิรันดร์) ว่านหม่าเปินเถิง (หมื่นม้าฮ้อตะบึง)   ซีเหมิ่งเตอหลิวสิงอู่ (เพลงระบำมองโกล)  ซื่อจี้ (เพลงสี่ฤดู)  เหมิงกู่เสี่ยวเตี้ยว (เพลงเกร็ดมองโกล)  เฮยจวิ้นหม่า (ม้าดำผู้องอาจ)  ต้าฉ่าวหยวน (ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่)  หว่อฉงฉ่าวหยวนหลาย (ข้ามาจากทุ่งหญ้า)  เป็นต้น  สามารถรับฟังเพลงบรรเลงด้วยซอหัวม้าได้ที่เวบไซต์แห่งนี้ http://www.youtube.com/watch?v=1TDd3tJvEAw 
         ข้างท้ายนี้เป็นตัวอย่างโน้ตเพลงเอกของซอหัวม้าเพลงหนึ่ง ชื่อเพลง หม่าโถวฉินเตอฉวนซัว (ตำนานซอหัวม้า) 

บรรณานุกรม
胡登跳《民族管弦乐法》上海:上海文艺出版社,1982
林友仁《中国大百科全书音乐舞蹈》北京、上海:中国大百科全书出版社,1989
袁靜芳《民族器乐》北京:人民音乐出版社,1987
中国艺术研究院音乐研究所。《民族音乐概论》北京:人民音乐出版社,1983

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น